คำเตือนบนสลากก่อนอ่าน: บทความนี้อาจทำให้ท่านระคายเคืองได้ แต่หลังจากเกิดระเบิดที่บริเวณถนนหน้าบ้าน ใจมันยิ่งอึดอัด ต้องหาที่ระบาย
๑.
เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย…
ก็อยู่ที่ว่าพี่จะถามใคร
ถามไพร่… ไพร่บอกว่านี่เป็นสงครามระหว่างคนเอาเปรียบกับคนที่ถูกเอาเปรียบ เป็นการต่อสู้ของคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากโครงสร้างอันอยุติธรรมของสังคม
ถามอำมาตย์… เอ ผมไม่แน่ใจ ถ้าถามอาร์มมาตย์ อาร์มมาตย์ขอตอบว่ากำลังงงตึบครับ
ปัญหาประเทศนี้มันเยอะแยะจริงๆ ดูไปดูมาทุกภาคส่วนดูจะเป็นปัญหาไปหมด
๒.
ก่อนอื่น ขอยืนยันว่าประเทศนี้มีปัญหาอำมาตย์
ผมจำได้ว่าตอนที่่มิตรชาวญี่ปุ่นของผมมาเที่ยวเมืองไทย ผมพาไปเลี้ยวข้าวที่โรงแรมหรูพร้อมเดินเล่นเซ็นทรัลเวิร์ล หลังจากทัวร์อาร์มมาตย์กันอยู่สี่ห้าวันแล้ว พี่แกบอกผมว่า เกิดเป็นอาร์มมาตย์นี่สบายจริง
เอาจริงๆ นะครับ แข่งเข้าจุฬาฯ ก็แข่งกับเพื่อนๆ อาร์มมาตย์ไม่กี่คนเอง แข่งหางานหรือครับ จบจุฬาก็มีงานทำอยู่แล้ว จะทำโน่นทำนี่ ก็มีบรรดาเครือข่ายสายเส้น มีรถขับ มีเงินใช้ มีข้าวกิน มีเหล้าดื่ม ชีวิตสะดวกสบาย เกิดมาถ้าไม่เสียคนไปก่อนก็ได้เป็น "เจ้าคนนายคน" แน่
พวกเราแข่งขันกันอยู่กับคนไม่กี่คน (ลองไปดูสิครับว่าเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายมีคอมมอนเฟรนด์ในเฟซบุคกันอยู่เท่าไร) ก็กลุ่มคนที่ผูกขาดทรัพยากรมีอยู่แค่นี้แหละครับ
ขณะที่คุณพี่ยุ่นของผมบ่นพ้อว่า ที่ญี่ปุ่นไม่มีปัญหาอำมาตย์เช่นนี้หรอก ที่ไม่มี ไม่ใช่เพราะญี่ปุ่นไม่มีอำมาตย์นะครับ แต่เพราะอำมาตย์ของญี่ปุ่นนั้นเยอะเกินไป เยอะจนไม่รู้จะใช้คำว่า "อำมาตย์" ไปทำไม หันซ้ายหันขวา หันหน้าหันหลัง ทุกคนก็พอๆ กันหมดครับ แย่งกัน ไม่ยอมใคร เหนื่อยครับ เพราะต้องแข่งกันมาก ไม่ว่าจะเรียนหนังสือ ทำงาน แม้กระทั่งหาศรีภรรยา
เขาเลยไม่เรียกว่าอำมาตย์แล้ว แต่เรียกว่า "ชนชั้นกลาง" แทน และนี่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก นั่นคือ เขามีชนชั้นกลางจำนวนมาก มีจนไม่มีปัญหาอำมาตย์ ไม่ใช่เพราะไม่มีอำมาตย์ (ย้ำอีกครั้ง) แต่เพราะทุกคนเป็นอำมาตย์กันหมด แฟร์ๆ เล่นเส้นไม่ได้ ใต้โต๊ะไม่ดี เพราะไม่มีใครปล่อยให้คุณทำ ทุกคนมีเส้นพอๆ กัน ทุกคนคอยจับผิดกัน สุดท้ายจะตัดสิน "ความดีความชอบ" ก็ต้องตัดสินด้วยความดี ความชอบ ด้วยผลงาน เพราะพ่อแม่ก็พอๆ กัน การศึกษาก็พอๆ กัน เครือข่ายก็พอๆ กัน ก็ต้องดูว่าใครขยัน ใครเก่งจริง ใครคิดอะไรใหม่ๆ ใครสร้างนวัตกรรม… ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ชาวบ้านเขาเจริญกันเพราะอย่างนี้นะ
เพราะฉะนั้น ผมจึงได้ข้อสรุปที่ตลกว่า ปัญหาอำมาตย์ของไทยคือการที่ไพร่เราไม่ขยับเป็นอำมาตย์กันสักที แต่เพราะอะไรเล่า? ขออนุญาตนำท่านสู่…ปัญหาของไพร่
๓.
ปัญหาไพร่ สอดคล้องอย่างแยกไม่ได้กับปัญหาอำมาตย์ครับ เพราะอำมาตย์จะอยู่ไม่ได้เลยนะถ้าไม่มีไพร่ให้เขาขูดรีด อุปถัมภ์และตักตวง… ถ้าไพร่กลายเป็นอำมาตย์กันหมด ก็ไม่เหลืออำมาตย์โดยอัตโนมัติ
ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าปัญหาไพร่คืออะไร แต่พอจับความที่มีคนพูดๆ กันได้ว่า
ปัญหาแรก คือ โครงสร้างอันไม่เป็นธรรมของสังคมไทย และการที่รัฐไม่มีนโยบายช่วยเหลือไพร่ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งยอมรับว่าคงจะเป็นเรื่องจริงสำหรับประเทศที่ไม่มีการเก็บภาษีมรดก ภาษีที่ดิน และอำมาตย์หนีภาษีกันถ้วนหน้า สำหรับประเทศที่ลูกสาวท่านผู้นำเห็นข้อสอบเอนทรานซ์ก่อนผม สำหรับประเทศที่รมต.จบเมืองนอก แก้ปัญหาธนาคารต่างๆ ได้ แต่ไม่เข้าใจปัญหาชนบทเลย
ปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้าง – การเพิกเฉยของรัฐนี้สำคัญ ฟังดูน่าเชื่อครับว่าถ้าเรามีระบบกฎเกณฑ์ที่เจริญก้าวหน้า สมบูรณ์สมเหตุสมผลอย่างในอเมริกาหรือยุโรป เราคงเจริญมีอารยะกันได้สักที แต่แท้จริงแล้วโครงสร้างที่ไม่เข้าท่า (ตามทฤษฎีฝรั่งนานาชนิด) นี้เป็นปัญหาของประเทศด้อยพัฒนาทั้งหมดนะครับ รวมทั้งประเทศในเอเชียตะวันออกด้วย แต่ชาวบ้านเขาก็เติบโตก้าวหน้ามาได้ในโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมนั้นไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้หรือจีน จีนเองจนปัจจุบันโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมก็ยังเห็นกันอยู่เต็มไปหมด ให้นักวิชาการเลือกหยิบมาด่าได้ทุกเมื่อเชื่อวันเหมือนกัน แต่ว่าสังคมเขามี "วิวัฒนาการ" ครับ คือมันค่อยๆ ขยับปรับปรุงดีขึ้นๆ ซึ่งสังคมเราก็มี แต่ว่ามันช้ากว่าเขามาก
ดังนั้นจึงมาถึงปัญหาไพร่ข้อสอง นั่นคือ คนของเราไม่ค่อยขยับขึ้นช้างบน เพราะ "ค่านิยม" ของสังคมไม่เอื้อ
ประเทศเอเชียตะวันออกทั้งหมด ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มีค่านิยมตามลัทธิขงจื๊อ นั่นคือเกิดเป็นคนต้องขยันและรักการศึกษา ดูจากการสอบจอหงวนสิครับ จนแค่ไหน ถ้าสอบได้ที่หนึ่ง ก็ได้เป็นขุนนางใหญ่โต ขอแค่ให้ตั้งใจเรียนหนังสือ ตั้งใจทำมาหากิน ก็ขึ้นมาเป็น "อำมาตย์" ได้
ผมไม่ขอวิจารณ์ว่าไทยเรามีค่านิยมอะไร เพราะผมก็เริ่มมึนๆ แต่ที่แน่นอนคือ ค่านิยมที่จะถีบตัวเองขึ้นมาของเรา มันไม่แพร่หลาย มันไม่เข้มข้น การศึกษาทำให้รู้วิธีการ รู้ช่องทาง ที่ฝรั่งเขาเรียกว่าโนว์ฮาว แต่ชาวบ้านเราไม่ค่อยรู้โนว์ฮาวที่จะเป็นอำมาตย์ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าทำอย่างไร และเขาก็ไม่ได้รู้สึกอยากด้วย ทางที่ง่ายกว่าคือรอให้ "ท่าน" (เช่น คุณทักษิณกับนโยบายประชานิยม) มาอุปถัมภ์
อาจารย์ชาวจีนเคยเล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ท่านไปอินเดียแล้วตกใจมากก็คือ ท่านเห็นถนนสายหนึ่งที่ถนนข้างหนึ่งเป็นคฤหาสน์ อีกข้างหนึ่งเป็นสลัม ท่านบอกว่าจินตนาการไม่ออกว่าในจีนจะมีถนนอย่างนี้ เพราะอยู่กันไม่ได้ ข้างสลัมก็จะอยากเป็นอย่างข้างคฤหาสน์ คล้ายๆ กับเพื่อนเกาหลีเคยเล่าให้ผมฟังว่า ต้องมาเรียนเมืองนอก เพราะคนข้างบ้านก็ส่งลูกมาเรียนเมืองนอก จะน้อยหน้าเขาไม่ได้
มันฟังดูขัดกับค่านิยมพื้นฐานบางอย่างของเราไหมครับ ค่านิยมลัทธิขงจื๊อนี้ บางกรณีอาจไม่เหมาะไม่งามและเกินเลยไป (จนทำให้คนเชื่อสายจีนคนหนึ่งลาออกจากตำรวจ ถีบตัวเองผูกขาดบริษัทโทรศัพท์, ครม., ประเทศ, และความฝันลมๆ แล้งๆ ตามลำดับ… จนหน้าตาเหลี่ยมและดูไม่ได้ขึ้นทุกวัน) แต่ผมอยากจะบอกว่าถ้า "แข่งกันดี" ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร และส่งผลบวกต่อประเทศชาติแน่ๆ
๔.
ตอนนี้ปวดหัวครับ เพราะไม่รู้ว่าจะไปยืนตรงไหน
ปัญหาของแดง (เฉพาะแดงที่มีสาระ ไปพ้นลัทธิคลั่งคนแล้ว) สำหรับผม ก็คืออ่านหนังสือมาร์กซ์ เหมาแล้วคลั่งครับ (คลั่งหนังสือ) คิดว่าทางออกของปัญหาอำมาตย์คือล้มอำมาตย์ ระเบิดอำมาตย์ ฆ่าอำมาตย์…เศร้าครับ
ใช้ได้ในฝรั่งเศส ช่วงที่ความเหลื่อมล้ำมันมาก ใช้ได้ในจีน ช่วงที่ความเหลื่อมล้ำมันถึงจุดระเบิด แต่มองไปมองมา วันนี้ ไม่มีความเหลื่อมล้ำอย่างนั้นในไทย ดูจากสถิติอัตราความเหลื่อมล้ำแล้ว ตัวเลขเราพอๆ กับอเมริกา สิงคโปร์ ต่ำกว่าจีน มาเลย์อีก
ปัญหาที่คนพวกนี้ไม่เข้าใจ (ไม่แปลก เหมาก็ไม่เข้าใจ ต้องรอเติ้งเสี่ยวผิงกว่าจะ "เก็ท") ก็คือ ทางแก้ไม่ใช่การทำให้ไม่มีอำมาตย์ สังคมไหนก็ต้องมีอำมาตย์อยู่แล้ว และสังคมที่เจริญแล้วคือสังคมที่มีอำมาตย์มาก ไม่ใช่น้อย คือสังคมที่เต็มไปด้วย "ชนชั้นกลาง" นั่นเอง
ปัญหาของเหลือง (เฉพาะเหลืองที่มีสาระ ไปพ้นลัทธิคลั่งคนเช่นกัน) ก็คือติดกับอยู่ที่เรื่องการปราบคนโกง โดยจะเอาคนโกงลงทุกวิถีทาง จนกลายเป็นแฟชั่นฮิตติดกระแสฉุดรั้งไม่อยู่ ยอม "เผาเมือง" (ทำลายสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไป) เพียงเพื่อจะจับโจร ปรากฎว่าเมื่อเผาเมืองเสร็จ จับโจรก็ไม่ได้ แถมเจอโจรใหม่อีกเพียบ แล้วก็ต้องเลือกระหว่างจะอุดหนุนโจรที่เหลืออยู่คนไหนดี แถมโจรเก่ากลับมาเผาเมืองซ้ำอีก… มองที่ปลายปัญหา และก็งงเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
ปัญหาที่ท่านเหลืองทั้งหลายไม่เข้าใจ ก็คือ จะให้อำมาตย์จับโจร นี่เหนื่อยครับ ทางที่ดีคือ ถ้าเรามีอำมาตย์เยอะๆ (ชนชั้นกลางมากๆ) สังคมการเมืองเราก็จะเข้มแข็งขึ้น เราจะมีทางเลือกมากขึ้น (ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ vs. no one) และคนเราก็จะไม่กล้าโกงกันหน้าด้านๆ เพราะคนรอบตัวคุณซึ่งมีจำนวนมหาศาล (ไม่ใช่แค่คนข้างบนหรือคนข้างล่าง) คงไม่ยอมแน่
๕.
ดังนั้น ทางออกจากอุโมงค์ (ฉบับอาร์มมาตย์) ก็คือ การพยายามส่งเสริมให้ไพร่กลายเป็นอำมาตย์ (Ammartnization) ซึ่งจริงๆ จะช่วยทำให้เกิดการสลายอำนาจอันไม่ชอบธรรมของอำมาตย์ (Non-Proliferation of Ammartive Power)
ทำอย่างไรล่ะครับ เพราะพูดแล้วก็ฟังดูดี (เห็นไหม ผมยังประดิษฐ์ศัพท์วิชาการไว้สำหรับอ้างอิงในอนาคตด้วย) แต่ทำจริงๆ แล้วยาก
เราต้องจัดการแก้ปัญหาให้ตรงจุดสองจุดในส่วนปัญหาไพร่ เพราะถ้าแก้ปัญหาไพร่ได้ ก็เท่ากับแก้ปัญหาอำมาตย์โดยปริยาย ดังกล่าวมาแล้ว (ถ้างง กรุณาเลิกอ่านซะตั้งแต่ตรงนี้เถอะครับ)
จุดแรก ต้องแก้ไขโครงสร้างอันไม่เป็นธรรม และจัดทำนโยบายของรัฐเพื่อช่วยเหลือไพร่… โดยรัฐบาล (ไม่ว่าใคร) ต้องทำกันอย่างเอาจริงเอาจัง และเอากันด้วยโครงการระยะยาว และขนาดมหึมา เพื่อสนับสนุนให้ชาวบ้านมีทุน มีโอกาส มีเวที (ไม่ใช่มีแต่เสื้อสีและมือตบเชียร์) ผมคิดว่าประเด็นหลักคือการจัดสรรโอกาส ไม่ใช่การสร้างรัฐสวัสดิการ เพราะเรายังไม่พร้อม
จุดที่สอง เรื่องค่านิยม อันนี้ยิ่งยากเข้าไปอีก แต่ผมคิดว่าเราอยู่ในยุคสมัยที่มีโอกาสทำให้สำเร็จได้ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารจำนวนมาก ถ้าเราทำให้คนชนบทเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้เขาสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือตนเอง สร้างกิจการ สร้างกลุ่มต่อรอง… ให้เขาสามารถเข้าถึงอินเตอร์เนตซึ่งมีความรู้มากมายไร้พรมแดน ขณะเดียวกันสื่อใหญ่ๆ ทั้งหมดในไทยร่วมมือกันทำแผนการแห่งชาติในการส่งเสริมการรายงานข่าวนโยบาย (ไม่ใช่คนทะเลาะกัน) ข่าวมีสาระ ข่าวโนฮาว… เอ็นจีโอที่เกี่ยวข้องก็ร่วมมือกันทำกิจกรรมสร้างสังคมการเรียนรู้… พร้อมกับรัฐเข้ามาเป็นเจ้าภาพนำและรวมพลังสังคมที่ก่อตัวขึ้น ตั้ง "ศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต" ทุกจังหวัด เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับการสร้างสังคมเรียนรู้ เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร สัมมนา อบรม และเป็นที่ตั้งห้องสมุดและศูนย์คอมพิวเตอร์สาธารณะ ทำให้ "การอยากรู้ อยากโต" กลายเป็นวาระแห่งชาติ
ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมานี้ จริงๆ ต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็งจึงจะผลักดันได้อย่างมีพลัง น่าเสียดาย เราไม่มีรัฐบาลที่เข้มแข็ง แต่ผมก็หวังว่าถ้ารัฐบาลพยายามเดินไปในแนวทางนี้ โดยสร้างโครงการ ดึงพลังทั้งจากสื่อและเอ็นจีโอ รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดธุรกิจเอกชนที่เกียวข้องกับการสร้างสังคมแห่งความรู้ ถึงจะค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็จะเห็นว่าเรามี "Vision ประเทศไทย" ที่ไปพ้นจากสีเสื้อ เป็น "วาระแห่งชาติ" ที่แท้จริง
คำว่า "วาระแห่งชาติ" จะเป็นจริงได้ ต้องมีเรื่องเดียวครับ ไม่ได้หมายความว่าทำแค่เรื่องเดียว แต่ทำทีละเรื่อง เหมือนกับที่เบนจามิน แฟลงคลิน สอนว่าแก้ไขนิสัยของตัวเองเดือนละเรื่องก็พอ เสร็จแล้วค่อยไปแก้ไขนิสัยข้อต่อไป จะได้โฟกัสพลังได้… ถ้าพลังน้อย คนเชื่อน้อย แรงน้อย ไปไหนไม่ได้ครับ… ทำเรื่องเดียวให้ดังๆ ให้ใหญ่ๆ โตๆ ได้ไหม ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ แก้ไขระบบต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทางไป
ผมคิดว่าจะขอฝากประเด็นเหล่านี้ไว้ให้ท่านทั้งหลายที่เป็นคนเสื้อสีที่มีสาระช่วยกันคิด และถกเถียง ดีกว่าที่จะถูกคนอื่นหลอกใช้ความตั้งใจที่ดีงามของท่านทั้งหลาย
ไปให้พ้นจากเรื่อง การต่อสู้ระหว่างอำมาตย์และไพร่ (โดยจะล้มโต๊ะท่าเดียว) และเรื่องสงครามปราบมาร (โดยจะล้มโต๊ะท่าเดียว) กันเสียที
ขึ้นไปยืนบนโต๊ะ และมองไปไกลๆ กว้างๆ ก็จะเห็นโลกที่มีมากกว่าสองสี และทางออกที่มีมากกว่าสองทาง